(https://img2.pic.in.th/pic/teka-washers-oct1.jpg)
เมื่อใดที่เสียงฟ้าร้องเริ่มมาเยือนและเมฆฝนปกคลุมท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นสัญญาณที่ทำให้พ่อบ้านแม่บ้านหลายคนถอนหายใจด้วยความกังวลใจ เพราะความท้าทายหลักของฤดูฝนไม่ได้อยู่ที่การเดินทางที่ยากลำบากเท่านั้น แต่อยู่ที่ภารกิจสำคัญอย่าง การซักผ้าและทำให้ผ้าแห้ง ซึ่งมักจบลงด้วยปัญหาซ้ำซาก นั่นคือ ผ้าไม่แห้งสนิท และ กลิ่นอับชื้นไม่พึงประสงค์ ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่ความหงุดหงิดเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อความมั่นใจและสุขอนามัยในชีวิตประจำวันอีกด้วย หัวใจของปัญหากลิ่นอับชื้นไม่ได้อยู่ที่น้ำฝน แต่อยู่ที่ ระยะเวลาการแห้งที่นานเกินไป และ ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศที่สูงลิ่ว ในช่วงหน้าฝน เชื้อโรคและแบคทีเรียหลายชนิด เมื่อผ้าแห้งช้า แบคทีเรียเหล่านี้จะย่อยสลายสารอินทรีย์และปล่อยสารระเหยออกมา ซึ่งเป็นที่มาของกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหรือกลิ่นอับที่เราคุ้นเคย หากเรานำผ้าที่มีกลิ่นอับมาสวมใส่ซ้ำๆ นอกจากจะเสียบุคลิกภาพแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาผิวหนัง เช่น ผื่นแพ้ หรือการติดเชื้อราได้อีกด้วย การทำความเข้าใจว่ากลิ่นอับคือสัญญาณของกิจกรรมแบคทีเรีย ทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด
ปรับเปลี่ยนวิธีการทำความสะอาดให้เหมาะสมกับฤดูกาล การจัดการกับกลิ่นอับต้องเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการซัก ไม่ใช่แค่การตาก หากเนื้อผ้าทนทาน การซักด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน (ประมาณ 60 องศาเซลเซียส) จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่ฝังตัวในเส้นใยผ้าได้ดีกว่าน้ำเย็น อย่างไรก็ตาม ต้องระวังไม่ให้ผ้าสีตกหรือเสียหาย เลือกใช้ผงซักฟอกที่มีส่วนผสมของเอนไซม์หรือสารฆ่าเชื้อโรค หรือเพิ่มผลิตภัณฑ์เสริม เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อโรคสำหรับผ้า หรือการเติม น้ำส้มสายชูขาว เล็กน้อยในช่องน้ำยาปรับผ้านุ่มในช่วงล้างน้ำสุดท้าย เพราะน้ำส้มสายชูมีคุณสมบัติในการยับยั้งแบคทีเรียและลดกลิ่นได้ดี ควรลดปริมาณผ้าในถังซักลง เพื่อให้การซักมีประสิทธิภาพมากขึ้น การล้างน้ำเป็นไปอย่างทั่วถึง และที่สำคัญคือ ทำให้ผ้ามีพื้นที่ในการปั่นหมาดได้เต็มที่ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำที่เหลืออยู่ในผ้าให้น้อยที่สุด เมื่อซักเสร็จแล้ว ขั้นตอนการตากคือตัวตัดสินความสำเร็จ เพราะเป้าหมายหลักคือต้องทำให้ผ้าแห้งภายใน 2-3 ชั่วโมงเพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเจริญเติบโต หากจำเป็นต้องตากในอาคาร ควรใช้เครื่องมือช่วยในการเร่งการแห้ง เช่น การเปิด พัดลม จ่อบริเวณผ้าที่ตากเพื่อสร้างการไหลเวียนของอากาศ (Air Circulation) หรือการใช้ เครื่องลดความชื้น (Dehumidifier) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการดึงความชื้นออกจากห้องและตัวผ้า ทำให้ผ้าแห้งได้เร็วขึ้นอย่างมาก อย่าตากผ้าหนาๆ เช่น กางเกงยีนส์หรือผ้าเช็ดตัว ใกล้กับผ้าชิ้นเล็กๆ ควรเว้นระยะห่างระหว่างเสื้อผ้าแต่ละชิ้นให้มากที่สุด และควรแขวนผ้าที่หนาไว้ด้านนอกเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทถึงได้มากที่สุด อาจใช้ไม้แขวนเสื้อแบบมีที่หนีบเพื่อยกคอเสื้อขึ้น และช่วยให้ลมผ่านได้ดีขึ้น แม้จะคิดว่าผ้าแห้งแล้ว แต่ในฤดูฝน ความชื้นที่ซ่อนอยู่ในเส้นใยผ้ายังคงมีอยู่ พ่อแม่ไม่ควรนำผ้ามาพับเก็บทันทีหลังตากในที่ร่ม ควรนำผ้าไปผึ่งในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกเพิ่มเติม หรือใช้เครื่องซักผ้าอบ (https://www.teka.com/th-th/teka-laundry/teka-washers/)ด้วยอุณหภูมิต่ำเพียงไม่กี่นาทีเพื่อไล่ความชื้นที่หลงเหลืออยู่ให้หมดจด การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะช่วยให้เสื้อผ้าของเราปราศจากกลิ่นอับชื้น พร้อมสำหรับการสวมใส่ด้วยความมั่นใจตลอดฤดูฝน