เชื่อหรือไม่ว่า..ประชากรเกือบ 1 ใน 3 ของโลกเคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และประมาณ 400 ล้านคนกลายเป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง และจากข้อมูลปี พ.ศ. 2552 พบว่ามีประชากรที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังในประเทศไทยสูงถึงร้อยละ 8 ของประชากรหรือราว 3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมักไม่มีอาการผิดปกติ กว่าจะเข้ามารับการตรวจรักษา ตัวโรคก็พัฒนาเกินระยะที่จะสามารถทำการรักษาให้หายได้ นั่นคือ…เกิดภาวะตับแข็งและมะเร็งตับระยะลุกลามแล้ว
มนุษย์เรานี่ล่ะ! พาหะในการส่งต่อเชื้อ “ไวรัสตับอักเสบบี”
ไวรัสตับอักเสบบีสามารถพบได้ในสารคัดหลั่งทุกชนิดของผู้ติดเชื้อโดยเฉพาะในกระแสเลือด จึงสามารถแพร่เชื้อได้จากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ โดยช่องทางที่พบว่าเป็นสาเหตุให้มีการแพร่เชื้อมากที่สุดก็คือ ทางเพศสัมพันธ์และการถ่ายทอดจากแม่ที่มีเชื้อสู่ทารก เมื่อได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเข้าสู่ร่างกาย เชื้อจะเข้าไปในกระแสเลือดและแทรกตัวเข้าไปในเซลล์ตับ บางรายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด คลื่นไส้ อาเจียน ตับโตและตัวตาเหลืองได้ แต่ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน จากนั้นภูมิต้านทานของร่างกายจะพยายามกำจัดเชื้อ หากไม่สามารถกำจัดได้หมดก็จะเกิดภาวะ “ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง”
ติดเชื้อ…ต้องรีบรักษา เพราะอาจก่อให้เกิด “โรคตับแข็ง” และ “มะเร็งตับ” ได้
“เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีต้องทำอะไรหรือไม่” , ”ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีต้องรักษาหรือไม่” เป็นคำถามที่พบได้บ่อย หลายรายคิดว่าไม่มีอาการก็ไม่น่าจะต้องทำอะไร แต่ในความเป็นจริง จากข้อมูลที่มีการศึกษาติดตามผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรังไปนาน 5 ปี จะพบว่ามีผู้ป่วยเกิดภาวะตับแข็งประมาณร้อยละ 8-20 คือมีอาการตัวบวมขาบวม ตัวตาเหลือง ซึม สับสน ซึ่งเกินจะเยียวยารักษาให้ดีขึ้น ต้องรอรับบริจาคตับเพื่อต่อการมีชีวิตอยู่ หรืออาจเสียชีวิตด้วยภาวะตับวาย หรืออาจตรวจพบว่ามีก้อนขนาดใหญ่ในตับ ซึ่งก็คือ…มะเร็งตับ
แนวทางการรักษา…อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะในแต่ละบุคคล
เชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่อาศัยร่างกายมนุษย์ในการดำรงชีพ จึงสามารถแบ่งตัวเพิ่มปริมาณในร่างกายได้ การติดตามดูนิสัยของเชื้อไวรัสว่าปริมาณเชื้อมีเท่าไร ความสามารถในการแบ่งตัวเร็วหรือช้า และทำลายตับมากหรือน้อย จะเป็นเครื่องมือที่นำมาสู่การประเมินแนวทางการรักษาให้เหมาะสมแก่ผู้ป่วยแต่ละราย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ป่วยมีไวรัสตับอักเสบบีที่นิสัยไม่ดีแบ่งตัวเร็ว มีปริมาณเชื้อมาก และมีตับอักเสบมาก แน่นอนผู้ป่วยรายนี้ก็มีโอกาสเกิดตับแข็งมาก มีโอกาสเกิดมะเร็งตับมาก จึงต้องได้รับการรักษาเพื่อลดปริมาณไวรัสให้เหมาะสม แต่ถ้าผู้ป่วยมีไวรัสตับอักเสบบีปริมาณเชื้อน้อยและไม่ก่อให้เกิดภาวะตับอักเสบ โอกาสการเกิดตับแข็งหรือมะเร็งตับก็ย่อมน้อยตาม ก็จะยังไม่ต้องเริ่มการรักษา เพียงแต่ต้องมีการติดตามเป็นระยะๆ และพร้อมที่จะเริ่มให้การรักษาถ้าหากว่านิสัยของไวรัสเปลี่ยนไป ซึ่งในส่วนนี้แพทย์ผู้รักษามีหน้าที่ที่จะอธิบายและให้ความรู้เพื่อให้ผู้ติดเชื้อมีความเข้าในเกี่ยวกับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม…ช่วยรักษา “โรคตับ” ได้นะ!
นอกจากติดตามการรักษาแล้ว การดูแลตัวเองก็เป็นเรื่องสำคัญ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลทำลายตับ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานถั่วบดซึ่งมักมีเชื้อราบางชนิดที่ส่งผลกระทบต่อตับ การรับประทานยาบางชนิด ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการช่วยให้ตับแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการพัฒนาของโรคตับ นอกจากนี้สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากในผู้ติดเชื้อคือ ต้องไม่แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
เชื้อไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรังเป็นเหมือนภัยเงียบ ค่อยๆ เกิดโรคร้ายโดยที่ผู้ที่ติดเชื้อไม่มีอาการ จึงจำเป็นที่ต้องได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติตัว การติดตามการดำเนินของโรค และการรักษาที่เหมาะสมโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อยืดอายุของตับให้อยู่กับคุณไปนานที่สุด
ไวรัสตับอักเสบบีชนิดเรื้อรัง ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะอาจเกิดโรคร้ายในอนาคตได้! อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://doctorathome.com/disease-conditions/177